เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน




คือบัณฑิตเพลิงชมพูครุศาสตร์
มหาบัณฑิตสมมาดสาวอักษร
จามจุรีศรีจุฬาถิ่นนาคร
ที่เสกพรให้เป็น"ครู"รู้ค่างาน

ที่มาของเรียงร้อยกานท์เรียงล้านกลอน

รวบรวมงานกรองคำของนัยนาในวันวานและวันนี้ เขียนในหลายวาระ มอบให้ใครหลายคน บางคนที่จากไปและบางคนที่ยังอยู่ เป็นงานชิ้นเล็กๆที่ทรงคุณค่าในความรู้สึก ควรค่าแก่การจดจำและจารึก







วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขียนให้กวี " มนตรี ศรียงค์ " (๓)

           สักวันธารน้ำตาคงแห้งเหือด
          ทะเลเลือดล้างคาวร้าวกำสรด
              เปลี่ยนสายน้ำฉ่ำธารใสมาแทนทด
                  พร้อมเปลื้องปลดปวดปร่าคร่าเดียวดาย
       นำคืนค่ำพรมพรำดาวพราวจันทร์พร่าง
           สายลมบางกระซิบซ้ำลำนำร่าย
                อยู่เพื่อเหงา..จ่อมเศร้า..เนาหรือตาย
                     หาความหมาย..อะไร..ไยคร่ำครวญ
       หวามหวาน..ในธารโศกวิโยคย่ำ
            ก็โดยด่ำคะนึงนึกระลึกหวน
                 ห่มรัญจวนตรวนหัวใจ..ในภาพนวล
                      รูปรอยล้วน..มายา..ฤาสาใจ
       ถึงพันล้านหยดน้ำตามาห่าฝน
            ก็ปลอมปนปมปร่าส่าพิษไข้
                 ตราบที่ยังจ่มจมขมข้างใน
                      อีกเก้าล้านห่วงใย..ก็ไร้ร้าง
       ให้คืนค่ำเคียงข้างอย่างเหงาเศร้า
            สงสารจันทร์..ดาวเหงา..ฟ้าเฉาบ้าง
                  จะโรยแรงอ่อนล้าพาเลือนราง
                       หากถามทางสว่างใส..ใครหนอพบ?





ที่มา :  เขียนโพสต์ใน www softganz.com/meeped/...เว็บไซต์ของกวีซีไรต์ คุณมนตรี ศรียงค์  วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ใช้ชื่อผู้เขียนว่า " ขอคุยด้วยคน" ( ip 125.24.31.201)    

เขียนให้กวี " มนตรี ศรียงค์ " (๒)

   ชีพช่วงและดวงส่ง  ฤดิชื่นระรื่นรมย์
      มองฟ้าอร่ามเรือง        ศศิเหลืองแอร่มดวง
 ข้างขึ้นและดาวปวง           ระดะงามตระการฟ้า
    เอื้อแสงรุจีส่อง              นภผองพสุน-ทรา
ห่มดินและผืนหญ้า              คิริเขาพนาไพร
    ราตรีผิว์เลือนห่าง            สุริย์พร่างกระจ่างใส
แทนที่ ณ ทันใด                 ชิวิตื่นก็คืนคง
    มีมืดสว่างภพ                 ลุประจบประจำจง
ชีพช่วงและดวงส่ง               ฤดิชื่นระรื่นรมย์
    ดีใดประสบหวัง               ลุประทังประทินสม
ได้ดังฤดีชม                        ปิติใจวิไลงาม
    ลืมทุกข์ถะโถมถั่ง            ประจุทั้งปะทุถาม
พรรคใดประลัยทราม            ภยครอบจะครองเมือง
    แลกซื้อประดามาร            ธนผลาญมลังเขื่อง
พันล้านสุนัขเชื่อง                 เตาะแตะต้อยและตูดตาม
    เมืองไทยจะหายฉิบ          อสุภ์ริบขย้ำหยาม
แบ่งแยกและแข่งขาม            ดนุนี้วิตกนัก.








ที่มา : เขียนโพสต์ใน www.softganz.com/meeped/...เว็บไซต์ของกวีซีไรต์ คุณมนตรี ศรียงค์ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๐ ใช้ชื่อผู้เขียนว่า "ขอคุยด้วยคน" (ip : 125...133)    

เขียนให้กวี " มนตรี ศรียงค์ "

              คลื่นการเมือง
   คลื่นการเมืองทะเลมารพล่านวันนี้
   อีกหนึ่งวันของปีที่หดหู่
   กากบาทเลือกคน-พรรค หมัก-มาร์คชู
   ต่างซุ่มสู้กูหรือมึงทึ้งแย่งชิง
         สงสาร..ประชารากหญ้าเน่า
         กลิ่นเงินโชยรุมเร้าเข้าเสียบนิ่ง
         กาเบอร์นี้ลุง-พี่-ป้าอย่าประวิง
         ห้าร้อย-พันซิงซิงวิ่งสู่มือ
   ง่ายดาย..ง่ายดี..ไม่มีปัญหา
   กาปั๊บ..จ่ายมา..ผีกระสือ
   ค่ากับข้าวเหล้าเบียร์ลูกเมียลื้อ
   สบายบรื๋อมื้อนี้อิ่มพีมัน
         กดบวกลบคูณหารแล้วฟันฉับ
         บิ๊กโปรเจ็คต์จั๋งหนับเรียงสรรพขั้น 
         ถอนทุนคืนบวกกำไรในฉับพลัน
         ของฟรีนั้นมีไหม..มี..ไม่มี
   ใครรู้..ฉันรู้..หารู้ไม่
   เขากำนอกกำใน..เรากำหนี้ 
   อีกหนึ่งกากบาท..ฆาตชีวี
   เขาบอก..คือวิถีประชาธิปไตย!!!!
   เราบอก..คือวิถีประชาพากันตาย!!!!

ที่มา : เขียนโพสต์ใน www.softganz.com/meeped/...เว็บไซต์ของกวีซีไรต์ คุณมนตรี ศรียงค์ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ใช้ชื่อผู้เขียนว่า "ขอคุยด้วยคน" ( ip : 125.27.210.193)
      
   
           

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขียนให้กวี " จิระนันท์ พิตรปรีชา "

                             จิระนันท์ พิตรปรีชา
  เป็นอะไรหลายอย่างที่เธอเป็น
  กวีซีไรต์โดดเด่นเป็นอมตะ
  นักประวัติศาสตร์ชัดใสได้สาระ
  อุดมการณ์เสียสละน่านิยม
               จากอดีตปัจจุบันถึงวันนี้
               ยังชัดชี้ถึงผลงานอันสั่งสม
               บันเทิงหนังแปลภาษาคมคารม
               ได้ชื่นชมทั่วกันฉันและเกลอ
   มิได้เป็น "ใบไม้ที่หายไป"    
   แต่เธอเป็นดอกไม้..เบ่งบานเสมอ 
   เธอเป็นอีกหลายอย่าง..ที่เป็นเธอ
   ค่าความคิดเลิศเลอที่กลางใจ

      เพราะเธอคือ จิระนันท์ พิตรปรีชา

ที่มา : เขียนให้กวีซีไรต์ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา เพื่อกล่าวขอบคุณในการฟังการบรรยาย ณ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (Museum Siam) เมื่อ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๑









เขียนให้กวี "ศักดิ์สิริ มีสมสืบ"

                ข้างหลังภาพ
   ดินสอสองบีกระดาษสีขาว
   ผสานใจดวงพราวที่มุ่งมั่น
   ลงเส้นตรงสันจมูกนั้น
   ไร้สเกลขอบคั่นกั้นตี
           เรียวปากหยักงอนซ่อนสวย
           หัวคิ้วขมวดมวยซ้อนถี่
           ปริศนาแววตาพาที
           ฉงน..กังวลหรือพี่(วาดยากจัง!)
    ลบสองสามคราท้าใจนิ่ง
    เอนอิงพิงหลังตั้งเข่านั่ง
    เมื่อยขบเหยียดขาห้าหกครั้ง
    สะบัดแขนสลับข้างเอ้า!ตั้งใจ
           หน้าผากสูงผมรุงรังกระทั่งหยิก
           ดินสอขยับพลิกระริกไหว
           ยุ่งยิ่งจริงหนา..นะผมใคร
          (จับหัวตัวเองไซร้คล้ายผมเรา)
    ร่างเส้นเสื้อแสงแต่งให้หล่อ
    โอละพ่อหล่อระเบิด..เถิดผมเผ้า
    จะคลับคล้ายเหมือนหมายได้แต่งเกลา
    มอบพี่เจ้ากวีหนุ่มลุ่มน้ำยม.... 
   (ฝีมือมิดีดอกจะบอกให้
    แต่ด้วยใจปรารถนาว่าเหมาะสม
    ฤาต้องเรียนวิชาให้เฉียบคม
    .................................)

           ฝีมือมิเทียบเทียมกวีแก้ว
      อาจมีแววเลือนรางอย่างริบหรี่
      หรุบหรู่มิเรืองแสงแข่งกวี
      ทิพย์วจีระรื่นลิ่วพลิ้วลีลา
           เอื้อนขับเพลงพร้องเพราะเสนาะโสต
      คลายเฉาโฉดเพริศพิไลในภาษา
      ฟังง่ายง่ายจับใจอักษรา
      งามผืนฟ้า..ผา..หิน..ดิน..ทราย..น้ำ
           ธรรมดา..ธรรมดา..มิธรรมดา
      เขียนฟ้า..ฟ้าร้อง..ฟ้าครวญคร่ำ
      เขียนฝน..ฝนฟุ้งฝอยหยดย้อยพรำ
      เขียนน้ำ..น้ำชุ่มฉ่ำดื่มด่ำธาร
            เขียนคน..คนก็มีทั้งดีร้าย
      เขียนปลา..ปลาก็ว่ายในละหาน
      เขียนใบไม้ก็เกรียวกรูดูเบิกบาน
      เขียนชิงช้าก็ทะยานการโยกโยน.... 


ที่มา :  เขียนให้กวีซีไรต์ คุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ ประกอบภาพวาดรูปเหมือนคุณศักดิ์สิริ เมื่อ ๕ กันยายน ๒๕๔๖ 









           "ศักดิ์สิริ-สิริศักดิ์-ศักดิ์สิริ
            มีสมสืบ"ฤทธิสืบมีสม
            ถักทอพจน์รสคำอันฉ่ำคม
            ล้ำคารมกวีแก้วเพริศแพร้วคำ
                         ปลูกตันไม้แตกหน่อละอออ่อน
                         ละอองซ้อนซ่านสมงามคมขำ
                         คือเรียงถ้อยร้อยรสประจงประจำ
                         เป็นเสียงเพลงหวานล้ำลำนำครวญ
                                      ให้โลกรู้ฟ้ารับซับผืนหล้า
                                      โดยศิลป์แห่งภาษาที่พาสรวล
                                      เสพทิพย์แห่งพจมานหวานออมอวล
                                      เสน่ห์นวลหอมผ่านกาลนิรันดร.  


ที่มา :  เขียนและอ่านเพื่อขอบคุณ คุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ กวีซีไรต์ปี ๒๕๓๕ ที่ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรพิเศษในการบรรยาย "เพลินเพลง-บอกดาว-ร้อยเรื่องราวจากการอ่าน" ณ ห้องประชุมพิพัฒนปริยัติสุนทร โรงเรียนเทพลีลา ในงานเทพนิทรรศ ' ๕๒   เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๓
          

เขียนให้กวี " เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ " (๔)

                                ตาม " แม่น้ำรำลึก"
       คน "ใบไม้"
        หวังหลับใหลใต้ลั่นทมจมดินนั่น
                แล้ว"มะกอกเต็มตะกร้า"ปาไปนั้น
                     ถูกใจหลงงงงัน..ใครกันแพ้
       จึง "หลงทางกลางทุ่ง" มุ่งไขว่คว้า
           แล้วเหว่ว้าบน "ลานดิน" ดิ้นเลียแผล
                วิ่งผ่านพ้น "สะพาน" อันเดียวแด
                     ลอย "บึงบัว" ของตาแก่แต่เห็น "ควาย"
       ไปที่ร้าน "ช่างตัดผม" คมคอเหล้า
            ร้อยเรื่องเก่าเมาแต่เช้ากระทั่งสาย
                คืนความหลัง "กระโจมฟาง" อันพร่างพราย  
                     ฤาความรักแตกสลายวันวัยนั้น
       ยินเสียง "นก" สกุณาคราผินผก   
            ลม "ว่าว" วกวนเร่ห่างเหหัน 
                เปิด "ประตู" เห็นกรุ่นไอละอองอัน
                     หม่นสลัวเป็นกรอบกั้นธารชีวิต
      หลงแอบเล่น "ซ่อน-หา" กับผีเพื่อน
            จึงลอยเลื่อนชะตากรรมถามถูก-ผิด 
                ลืมแม้ "สวน" เสน่หาเยาวมิตร
                     ผู้เนาชิดอิงแนบเคยแอบใจ
      สุม "กองไฟฤดูหนาว" อุ่นร้าวอก
            ละเมอพกเพ้อดาวจนเดือนไหว
                มอง "หมู่เมฆ" เมียงฟ้ามารำไร
                   "ลาวดวงเดือน" ค่ำคืนไหนไม่เคยพบ
     เห็นแต่ "หมาละเมอ" เพ้อหาลูก
           รักพันผูกเพียงใดใคร่ประสบ
             " เพลงกล่อมลูก" เสียงขาดหายคล้ายเลือนลบ 
                   เสียงหอนกลบ "แสงดาวฤดูร้อน"
     ฟังเสียงขลุ่ยครางครวญทวนเสียงไห้
          โอ้ดาวจันทร์เป็นใจไม่หลบร่อน
              เผา "ความฝันฤดูฝน" จนซ้ำซ้อน
                   เฝ้าตามฝันซุกซ่อนย้อน "ลำราง"
     เขาผู้ไร้ใครใครในดวงตา
           ระบายฟ้าสีน้ำเงินเหมือนเพลินสร้าง
               ให้โศกตรมกลมเกลียวเหนี่ยวนำทาง
                  แล้วแปลงร่างเป็น "แมวหินบนหลังคา"
     ซุกซุ่มซ่อนซึมเซาแซมเศร้าสร้อย 
           หวนละห้อยอุ่นอกไอร่ำไห้หา
                เห็นเงาเงียบใน "โอ่งน้ำ" ไม่นำพา
                     ระเบิดบ้ากรีดร้องในข้องคับ  
     จึงมีเสียง "หนังสติ๊ก" ที่ง้างยิง
          เป็นเป้านิ่งมิติงไหวดุจใจดับ
               เห็น "ต้นหว้า" เสียดฟ้ากว้างกลับไกลลับ
                     จะจูบจับจนเจียนใจจะจากจร 
     ปั่น "จักรยาน" ไปเจอ "ไก่ในหนังสือ
          บ้านแม่น้ำ" คนก็ลือราวฝันหลอน
              คนไกลบ้านยังลอยเร่หาเปลนอน
                    เอื้ออาทรมีบ้างไหม..จากใจนั้น
     ดับ "ตะเกียง" เพียงเพื่อจะพร่ำพ้อ
           จำนนต่อโชคชะตาที่พร่าขวัญ
               เปรี้ยง!เสียงปืนสะท้านดินและดาวจันทร์
                   บั่น "หน้าต่าง" บานเก่าเผาเรือนร้าง
     หลีกลี้กายหลบหายลง "ใต้ถุน"
           ซบเซซุนแทรกดินทรายหมายซ่อนร่าง
               "ครกกระเดื่อง"ตอกตำย้ำครืนคราง
                    จะลอย "เรือ" เวิ้งว้างเพียงพรางกาย
     โค้งเรียว "รุ้ง" รุ่งพราวเกี่ยวราวฟ้า
           ตะกายตาหาสรรพ์สีที่พร่างสาย
                เลียบ "ชายฝั่ง" แล้วก่อสร้างปราสาททราย
                     คลื่นซัดซ่าแหลกสลายสู่ทรายซ้ำ
      กลับคืน "ชานชรา" คราฟ้าพลบ
           ซวนสลบซบซ้ำจนย่ำค่ำ
                เหม่อแหงนหน้ามองฟ้าหาดาวนำ
                    "ดาวประจำเมือง" ฉายคล้ายเหลียวแล
      วักน้ำใสไหนหนา "ปลาตกครอก"
           เป็นลูกรอกต้ม-ยำ-ย่างหลังเหวี่ยงแห
                ขย้อนขยักกินลาบปลา..มาแท้แท้
                    โอ้..ปลาแล่ "ปลาเร่-(และ)เปลร้าง"
      อรุณรุ่ง..เลื่อมเรืองเหลืองแดดสี
           "สารภีเดือนกุมภา" ....ฟ้าสล้าง 
                 คิดถึง-อุ่นโอบอ้อมหอมเบาบาง 
                      กลิ่นเจือจาง..กลิ่นท้องทุ่งรุ้งเรียวทอง
      และ "ใต้ดวงตะวัน" วันแดดสวย
            เขาคืน...ถิ่นแฝงร่างด้วยละอองหมอง
                 มือกอดกุม "ดอกไม้สีขาว"ประคับประคอง
                      เสียงอกร้องก้องกึกลึกข้างใน
      เก้าอี้โยกตัวเก่าเขานิ่งคิด
            หนอชีวิต..ลิขิตตน..วกวนไหว
                 มอง "แม่น้ำรำลึก" กว้างลึกไกล
                       ขุ่นหรือใสชีวิต..ไหล..เหมือนสายน้ำ.   

ที่มา :  เขียนให้กวีซีไรต์ คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เมื่อ ๑๘  ตุลาคม ๒๕๔๗
















เขียนให้กว๊ " เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ " (๓)

                                               ลึก-นิ่ง-คม
   ที่เงียบฤาเงียบเหงา           ที่ว่างเปล่าฤามองเห็น
ที่เศร้าฤาซ่อนเร้น                 ที่มืดมนฤาจนทาง
   แววมั่นมานะมุ่ง                  เกี่ยวเรียวรุ้งมาเคียงข้าง
มีฝันมิจืดจาง                        จินตนาการให้โลกยล
   มีสิทธิ์มีเสรี                        ชีวิตนี้ก็สุขล้น
มิด้อยในตัวตน                      ลึก-นิ่ง-คมในความคิด
   รังสรรค์วัยเยาว์สวย            ตื่นตาด้วยภาพแจ่มจิต
เย็นฉ่ำน้ำบ่อนิด                     ทะเลทรายคลายรุ่มร้อน.
ที่มา : เขียนให้กวีซีไรต์ คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์  เมื่อปี ๒๕๔๗
                 
         

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขียนให้กวี " เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ " (๒)

                           "พราง"
    ภาพซ้อนซ่อนพรางเพียงร่างภาพ
        เทียบทาบหยาบรอยร้อยร่างเขียน
            เส้นสายพรายพร่างอย่างแนบเนียน
                วนเวียนวาดแววในแพรวตา
    อ่อนไหวไรผมยามลมไล้
        แก้มใสไร้เสี้ยนเนียนนักหนา
            หนวดเข้มครึ้มเคราเย้าอุรา
                 ละม้ายเหมือนว่าตาโศกครวญ
    หวนหาอาลัยสิ่งใดเล่า
        ซึมเซาเศร้าสร้อยละห้อยหวน
             อดีตหลอกหลอนมิย้อนทวน
                  ไยป่วนหันเหล้อเมรัย.....
ที่มา : เขียนให้กวีซีไรต์ คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ประกอบภาพวาดลายเส้นรูปเหมือนคุณเรวัตร์ ฝีมือครูนัยนา เมื่อปี ๒๕๔๗  

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขียนให้กวี " เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ "

                                                   เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์
        หนุ่มใหญ่และวัยแกร่ง                        มนแจ้ง ณ กลอนกานท์
 เอื้อใจฤทัยผ่าน                                         บริบทพนาไพร
        หลงใหลกระแสน้ำ                              ปิติฉ่ำมโนใน
 ผูกพัน ณ เรือนไม้                                     ฤดิเหงาก็หวนคืน
        บางคราระโหยอ่อน                            กะจะนอนมิรู้ตื่น
 เมรัยระรมย์รื่น                                          ชิวิแทบจะปล่อยวาง
        ฝากกาย ณ ลั่นทม                             รติขมจะฝังร่าง
 คิดหนออะไรอย่าง                                     ดนุนี้มิค่าควร
        แท้จริงสิสร้างสรรค์                            นยนั้นประเสริฐล้วน
 เสกคำประดามวล                                      รุจิแจ่ม ณ กลางใจ 
        นั้นคืออดีตงาม                                   มนยาม ณ เยาว์วัย
 เก็จก่องพิสุทธิ์ใส                                      ก็มิย้อนมิยั่งยืน
        คิดหวนและทวนทบ                            ตนพบฤดีชื่น
 ปล่อยใจลุวันคืน                                        ทะนุจิตบ่จืดจาง
        เจิดจ้าจรัสศรี                                     ณ วิถีกวีสร้าง
 คีอ"พันธุ์พิพัฒน์" อ้าง                             ผิว์กระจ่างก็ "เรวัตร์"

ที่มา :  เขียนให้กวีซีไรต์ คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๗                           

เขียนให้กวี " เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"

                                                     คารวะกวีแก้ว
        แก้วเก้าประกายก่อง              รวิส่องพะพราวแสง 
สู่บรรณพิภพแจ้ง                      นวรัตน์จรัสเรือง
      สมค่ากวีแก้ว                        วะวะแววประดับเมือง
 กรองคำและนำเนื่อง                 รติรส ณ พจน์งาม
      ทบทศทวามาส                    ก็ลุปราชญ์ทวีนาม
 แซ่ซ้อง ณ โลกสาม                 ปิติล้นผิว์ยลยิน
    เสพทิพย์ผจงถ้อย                 ยุวน้อยกระจ่างจินต์
 เห็นทางสว่างสิ้น                      คติธรรมประจำใจ
      อ่านคน ฤ อ่านตน                 มนะยลมโนมัย
 อาจเป็นกวีได้                          ผิวะหมายและใคร่เป็น
    เมตตา ณ วันนี้                      สุวจีพิสุทธิ์เพ็ญ
ดุจฝนสิฉ่ำเย็น                           ชลสายประปรายพร
     ขอบคุณกวีแก้ว                      ฤดิแน่วประนมกร
 ท่านเอื้อและอาทร                    ดนุนี้มิลืมเลือน.


ที่มา : เขียนขอบคุณกวีซีไรต์ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ท่านรับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษ นำนักเรียนร่วมเสวนา ในงานเทพนิทรรศ'๕๑ หัวข้อ "คติธรรมจากการอ่าน ส่องสว่างทางชีวิต" วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ ณ โรงเรียนเทพลีลา